Menu Close

โรคไมเกรน

โรคไมเกรน

ไมเกรน (Migraine)

แพทย์หญิง สลิล ศิริอุดมภาสวว. พยาธิวิทยากายวิภาค 

โรคปวดศีรษะไมเกรน หรือโรคปวดหัวข้างเดียว หรือบางคนเรียกสั้นๆว่าโรคไมเกรน(Migraine) เป็นโรคปวดศีรษะเรื้อรังชนิดหนึ่ง โดยมีอาการปวดศีรษะกำเริบเป็นพัก ๆ (Migraine attack) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะในระดับปานกลางถึงรุนแรง และมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้และตากลัวแสง เป็นต้น ผู้ป่วยโรคปวดศีรษะไมเกรน มักมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ด้วย และปัจจุบันโรคนี้มียาที่สามารถรักษาบรรเทาอาการ และยาที่ป้องกันอาการกำเริบของโรค มีการประมาณว่าใน 1 วัน ทั่วโลกจะมีผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรนประมาณ 3,000 คนต่อประชากร 1 ล้านคน โดยพบอัตราเป็นโรคนี้สูงสุดในคนอเมริกาเหนือรองลงมาคือคนอเมริกากลาง อเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย และแอฟริกา ผู้ป่วยโรคนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงโดยเฉลี่ยพบว่า ผู้หญิงประมาณ 15% จะเป็นโรคนี้ในขณะที่ผู้ชายพบเป็นโรคนี้เพียงประมาณ 6% อัตราสูงสุดของการเป็นโรคปวดศีรษะไมเกรนชนิดไม่มีอาการนำ ในผู้ชายอยู่ที่อายุ 10 -11 ปี ส่วนในผู้หญิง อยู่ที่ 14 – 17 ปี ส่วนอัตราสูงสุดของผู้เป็นไมเกรนชนิดมีอาการนำ ในผู้ชายอยู่ที่อายุประมาณ 5 ปี ในผู้ หญิงประมาณ 12 – 13 ปี โดยมีอัตราการเป็นโรคไมเกรนทุกชนิดสูงสุดทั้งในผู้หญิงและในผู้ชายอยู่ที่ช่วงอายุ 30 -40 ปี ทั้งนี้แทบจะไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรนเป็นครั้งแรกเมื่ออายุเลย 50 ปีไปแล้ว

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไมเกรน คือ

ก. พันธุกรรม:

  • ประมาณ 70% ของผู้ป่วยจะมีประวัติญาติสายตรงเป็นโรคปวดศีรษะไมเกรน

  • และถ้ามีญาติที่เป็นโรคนี้โดยเฉพาะเป็นแบบมีอาการนำชนิดออรา (Aura คือ อาการที่เกี่ยวกับความรู้สึก เช่น เห็นแสงวาบ เห็นจุดดำๆ หรือรู้สึกซ่าในบริเวณใบหน้าและมือ เป็นต้น) โอกาสที่จะเป็นโรคนี้มีประมาณ 4 เท่าเมื่อเทียบกับคนทั่วไป

  • โดยส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่ามีการถ่ายทอดผ่านจีนหรือยีน (Gene คือ ลักษณะทางพันธุกรรม) ตัวไหนชัดเจน แต่พบว่าอาจสามารถถ่าย ทอดผ่านทางจีนจากแม่สู่ลูกได้

  • อย่างไรก็ตาม บางชนิดของโรคปวดศีรษะไมเกรน ทราบตำแหน่งจีนที่ผิดปกติชัดเจน คือโรคไมเกรนชนิดมีอัมพาตครึ่งซีกร่วมด้วย (Familial hemiplegic migraine) เกิดจากมีความผิด ปกติที่บางตำแหน่งบนหน่วยพันธุกรรม (โครโมโซม/chromosome) คู่ที่ 1 หรือ 19 ซึ่งถ่าย ทอดทางพันธุกรรมได้ โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะแบบมีอาการแขนขาอ่อนแรงครึ่งซีกชั่ว คราวร่วมด้วย

ข. โรคอื่น ๆ: บุคคลที่มีโรคบางอย่างจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคปวดศีรษะไมเกรนร่วมด้วย เช่น

  • โรคลมชักบางชนิด

  • โรคไขมันในเลือดสูงแบบที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม

  • โรคหืด

  • คนที่มีผนังกั้นห้องหัวใจห้องบนรั่ว

  • โรคซึมเศร้า

  • โรควิตกกังวล

  • รวมทั้งโรคพันธุกรรมอีกหลายชนิด (ซึ่งมีชื่อเรียกที่ยากและยาว และพบได้น้อย จึงไม่ขอกล่าวถึง)

แนวทางการรักษาโรคไมเกรน

แนวทางการรักษาโรคไมเกรน คือ

ก. หลีกเลี่ยงตัวกระตุ้น: 

  • หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้อาการปวดศีรษะกำเริบขึ้น ได้แก่ ความเครียด การนอนหลับมากหรือน้อยเกินไปการเจอแสงแดดจ้าหรือแสงไฟสว่างเกินไป กลิ่นที่รุนแรง เช่น น้ำหอม กลิ่นน้ำมันเครื่อง บุหรี่ อาหารบางอย่างก็อาจกระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้ เช่น เนย โยเกิร์ต กล้วย ช็อคโกแลต ไส้กรอก ลูกเกด ถั่วต่าง ๆ ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชู ผักดอง ผงชูรส สารให้ความหวานแทนน้ำตาล สารกันบูด ชา กาแฟ แอลกอฮอล์ 

  • (ช่วงวงรอบประจำเดือน) สภาพอากาศที่เย็นเกินไป หรือที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันเกิดติดเชื้อเจ็บป่วยไม่สบาย เมารถ เมาเรือ

  • ทั้งนี้ในผู้ป่วยแต่ละคน ปัจจัยกระตุ้นจะไม่เหมือนกันและบางคนอาจจะไม่ทราบสิ่งกระตุ้นที่ชัดเจน ผู้ป่วยไมเกรนจึงต้องสังเกตตัวกระตุ้นอาการเสมอเพื่อการหลีกเลี่ยง

ข. การใช้ยารักษา: มีหลักการคือ การใช้ยาเพื่อบรรเทาขณะมีอาการปวดศีรษะ, การใช้ยาในระหว่างที่ไม่ได้มีอาการปวดศีรษะเพื่อป้องกันและลดความถี่ลดความรุนแรงในการกำเริบของอาการ, และการใช้ยารักษาอาการร่วมต่าง ๆ นอกเหนือจากการปวดศีรษะ

  • การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการขณะปวดศีรษะ: มียาอยู่หลายกลุ่มให้เลือกใช้ ขึ้นกับความรุนแรงของอาการทั้งแบบกินและแบบฉีด ที่รู้จักกันดี คือ ยาคาเฟอร์กอท(Cafergot)

  • การใช้ยาเพื่อป้องกัน ลดความถี่และความรุนแรงของอาการ: มียาอยู่หลายตัวให้เลือกใช้เช่นกัน ผู้ป่วยต้องมีเกณฑ์ดังต่อไปนี้ จึงจะพิจารณาให้ได้รับยา คือ

– การปวดศีรษะกำเริบมากกว่า 2 ครั้งต่อเดือน

– การปวดศีรษะแต่ละครั้ง กินเวลานานมากกว่า 24 ชั่วโมง

– การปวดศีรษะแต่ละครั้ง ทำให้ทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันปกติไม่ได้

– ใช้ยาในกลุ่มที่บรรเทาอาการขณะปวดศีรษะหลายตัวแล้วไม่ได้ผล

– ใช้ยาในกลุ่มที่บรรเทาอาการขณะปวดศีรษะบ่อยมากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์

– ใช้ยารักษาอาการอื่น ๆ ที่เกิดขณะปวดศีรษะ เช่น ยาแก้คลื่นไส้ อาเจียน

อนึ่ง: แนะนำอ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ‘ยาไมเกรน ยาต้าน ไมกรน’

ค. การใช้วิธีทางการแพทย์ทางเลือกอื่น ๆ: เช่น การใช้หลักทางจิตวิทยามาร่วมรักษา การสะกดจิต การฝึกโยคะ การฝังเข็ม การใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้น เป็นต้น

ควรดูแลตนเองอย่างไร? 

การดูแลตนเอง การพบแพทย์สำหรับ ผู้ป่วยไมเกรน คือ

  1. ถ้าอาการปวดศีรษะรุนแรงร่วมกับมีไข้ หรืออาเจียนมากไม่ว่าเป็นโรคไมเกรนอยู่แล้ว หรือไม่เคยปวดศีรษะเรื้อรังมาก่อนควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาล เพราะอาจมีโรคอื่นเกิดขึ้นมาใหม่ เช่น โรคสมองอักเสบหรือเนื้องอกสมอง

  2. ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะเรื้อรังบ่อย ๆ ไม่ควรซื้อยากินเอง เพราะอาจไม่ตรงกับโรคเนื่องจากโรคปวดศีรษะแบบเรื้อรังมีอยู่หลายโรค เช่น จากความเครียดจึงควรพบแพทย์ที่เคยให้การรักษา เพราะจะได้ติดตามอาการของผู้ป่วย และได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องหรือเมื่อยังไม่เคยพบแพทย์เลยก็ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยหาสาเหตุและการรักษาที่เหมาะสม

  3. ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไมเกรนแล้วควรได้รับการรักษาจากแพทย์ต่อเนื่อง ไม่ควรซื้อยากินเองเนื่องจากการใช้ยารักษาบางตัวที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดการติดยามีผลข้างเคียงเกิดขึ้นและที่สำคัญ คือ ทำให้อาการรุนแรงขึ้นจนเป็นโรคไมเกรนแบบเรื้อรังซึ่งยากต่อการรักษา

  4. ผู้ป่วยควรมีแพทย์ที่ดูแลประจำ ไม่ควรเปลี่ยนแพทย์หรือเปลี่ยนโรงพยาบาลที่รักษาหลายโรงพยาบาล เพราะจะไม่สามารถติดตามอาการและประเมินประสิทธิภาพของยาชนิดที่กำลังรักษาอยู่ได้

  5. ผู้ป่วยควรสังเกตตัวเองให้ดีว่า สิ่งใดเป็นปัจจัยกระตุ้นให้อาการปวดศีรษะกำเริบขึ้นมาจะได้หลีกเลี่ยง

  6. เนื่องจากผู้ป่วยโรคปวดศีรษะไมเกรนมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดสมองและโรคหลอดเลือดหัวใจ จึงควรดูแลร่างกายลดปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ในการเกิดโรคนี้ด้วย เช่น

– การออกกำลังกายสม่ำเสมอ

– การไม่สูบบุหรี่

– การหลีกเลี่ยงยาคุมกำเนิดชนิดมีฮอร์โมนเอสโตรเจน (รู้ได้โดยการอ่านที่ฉลากยาข้างกล่อง หรือปรึกษาเภสัชกร ถ้าซื้อยากินเอง)

– และการควบคุม น้ำหนักตัว ไขมันในเลือด และน้ำตาลในเลือด

ขอบคุณข้อมูล :: strokenetwork.kku.ac.th